1 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคำร้อง สว. ขอให้ศาลวินิจฉัย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เข้าข่ายให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีแนวทางคำสั่งหลายแบบ คือ
แนวทางที่ 1
แนวทางที่ 2
แนวทางที่ 3
แนวทางที่ 4
ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ผอ.เนชั่นโพล และผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
ให้น้ำหนักแนวทางที่ 1 (รับคำร้อง และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) มากที่สุดถึง 60% ส่วนแนวทางที่ 3 เลื่อนไปก่อน มีความเป็นไปได้ 40%
ขณะที่แนวทางที่ 2 รับคำร้อง แต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจารย์เชษฐา มองว่า เป็นไปไม่ได้เลย หรือ 0%
ศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะนักวิเคราะห์การเมืองชื่อดัง มองสวนทาง อ.เชษฐา โดยบอกว่า แนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ แนวทางที่ 2 รับคำร้อง แต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
เหตุผล เป็นการยื่นคำร้องของ สว. เพื่อให้ศาลวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลต้องรับไว้พิจารณาวินิจฉัยเท่านั้น และรัฐธรรมนูญให้อำนาจ สว.ในการตรวจสอบ
แต่การปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ยังไม่ปรากฏว่าจะเกิดความเสียหาย เนื่องจากกรณีคลิปเสียงเกิดขึ้นครั้งเดียว จบไปแล้ว และยังไม่ได้ข้อยุติในการรับฟังพยานหลักฐาน เพราะเป็นคลิปเสียงที่แอบอัดโดยฝ่ายกัมพูชา จึงถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ การรับฟังพยานหลักฐานกรณีนี้ จึงต้องใช้ดุึลยพินิจอย่างละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเรื่องที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง บอกว่า ฟังธงยากมากจริงๆ เพราะมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาและแทรกซ้อนหลายอย่าง จึงขอตอบแบบทำโพล
แนวทางที่ 1 (รับคำร้อง และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) เป็นมุมมองของคนทั่วไปที่เชื่อว่าจะออกแนวนี้ โดยเฉพาะมวลชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล จึงอาจมีการชุมนุมในวันที่ 1 ก.ค. เพื่อแสดงพลังไม่เอานายกฯ
ในขณะที่ฝั่งศาล และในมุมของรัฐบาล หรือตัวนายกฯเอง ยังมีทางออกในอนาคตว่า ไต่สวนแล้วไม่ผิด ก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งต่อได้ (เทียบกับกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
แนวทางที่ 2 (รับคำร้อง แต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) ความเป็นไปได้อาจจะน้อยกว่าในมุมมองของคนทั่วไป เพราะปัญหาคือ จะอธิบายกับสังคมอย่างไร เนื่องจากการรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ย่อมมีนัยถึงการตรวจสอบที่ผู้ถูกร้อง (นายกฯ) ควรต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าไม่ต้องหยุด อาจกลายเป็นบรรทัดฐานอีกแบบ (ถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ในมุมกลับ)
แนวทางที่ 3 (เลื่อนไปก่อน) ถ้าออกแนวนี้ ศาลจะกลายเป็นจำเลยเสียเองในกระแสมวลชนฝ่ายต่อต้าน และศาลจะต้องชี้แจง อันจะถูกตีความว่าเป็นการปกป้องรัฐบาลหรือไม่ และเผือกร้อนจะมาอยู่ในมือศาลเอง
ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ให้น้ำหนักแนวทางที่ 3 คือ เลื่อนไปก่อน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ร้องส่งข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจาก สว.เพิ่งยื่นคำร้องมาได้ไม่กี่วัน
ประกอบกับเรื่องนี้ เป็นเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองที่ใช้กฎหมายมาจับได้ (คือปรับกฎหมายมาบังคับใช้เพื่อวินิจฉัยได้ยาก) จึงควรใช้เวทีสภา นั่นก็คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะตรงกว่า เพราะเป็นเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง จึงต้องจัดการด้วยการเมือง ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ที่ศาลจะเลื่อนการพิจารณาไปก่อน ด้านหนึ่งก็เพื่อรอดูการดำเนินการของฝ่ายสภา
แต่ปัญหาคือ ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน ก็อาจจะรอศาลด้วยเหมือนกัน กลายเป็นต่างฝ่ายต่างรอหรือไม่
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. และนักวิเคราะห์การเมืองชื่อดัง โดย “เสธ.แมว” ได้รับการยอมรับสูงมากในระยะหลัง เพราะประเมินทิศทางการเมืองถูกทั้งหมด
คราวนี้ “เสธ.แมว” ฟันธงสั้นๆ ง่ายๆ ว่าจะออก “แนวทางที่ 1” คือ รับคำร้อง และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย มองต่างจากท่านอื่นๆ เพราะมองโยงไปถึงสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ที่หลายฝ่ายตั้งตารอการโปรดเกล้าฯ ครม. “แพทองธาร 2” ซึ่งรัฐบาลบอกเองว่า ทูลเกล้าฯรายชื่อไปแล้ว
อาจารย์ธนพร จึงแยกพิจารณาฉากทัศน์ของศาล ออกเป็น 2 กรณี กล่าวคือ
1.กรณีไม่ปกติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษ มีเรื่องทูลเกล้าฯ ครม.ใหม่ค้างอยู่ ถ้ามีการโปรดเกล้าฯลงมาก่อนบ่ายวันที่ 1 ก.ค.2568 เชื่อว่าศาลจะไม่สั่งนายกฯให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แน่นอน เพื่อไม่ให้กระทบกับเรื่องของการนำรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ แต่หากไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ศาลน่าจะเลื่อนเพื่อรอความชัดเจน
2.กรณีปกติทั่วๆ ไป ถ้าไม่มีเรื่องรอโปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ ศาลน่าจะรับคำร้อง แต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ดี มี “กูรูท่านหนึ่ง” เป็นนักรัฐศาสตร์ชื่อดังมาก แต่ท่านไม่อยากถูกทัวร์ลง หรือล่าแม่มด จึงขอแสดงความเห็น โดยไม่ออกนาม
กูรูท่านนี้ บอกเอาไว้แบบนี้ “ถ้าผมเป็นตุลาการ ผมคงเลื่อน หรือถ้าไม่เลื่อน ก็ไม่รับไปเลย เพราะข้อกล่าวหาเรื่องคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน เป็นคุยกันทางโทรศัพท์ การกล่าวหาว่าทำให้ประเทศชาติเสียศักด์ศรี ต้องถามว่าผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความไว้วางใจทางการเมือง เป็นเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองมากกว่า ไม่สามารถใช้กฎหมายมาชี้ถูกชี้ผิดได้
ฉะนั้น แนวทางจัดการที่เหมาะสม คือ ใช้เวทีสภา ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะสภาไม่ต้องอิงกับกฎหมาย ขึ้นกับความชอบธรรมในสายตาประชาชน ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย นายกฯก็อยู่ไม่ได้ สส.ฝ่ายค้าน หรือแม้แต่รัฐบาลเองก็ต้องคิดหนักถ้าจะสนับสนุนให้อยู่ต่อไป
ส่วนศาลรัฐธรรนูญ จะพิจารณาวินิจฉัยเรื่องใดต้องอิงกฎหมาย ไม่มีหลักความชอบธรรมทางการเมืองให้ตีความ การที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์สื่อว่าหนักใจคำร้องนี้ ผมเดาว่าหนักใจเพราะกฎหมายไม่มีช่องทางไปปรับใช้ หรือตีความมารองรับได้ การที่นายกฯบอกว่า ต้องการอะไรจะจัดให้ อาจจะเป็นทุเรียนก็ได้ ฮุนเซนชอบกินทุเรียนหรือเปล่า
ฉะนั้นคนที่จะซักเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คือ ฝ่ายค้าน