17 มิถุนายน 2568 จากเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ "ช่องบก" หรือสามเหลี่ยมมรกต พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อยุติ และเรื่องราวกลับบานปลายขยายใหญ่ขึ้น ขณะที่สถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
สรุปปัญหาของรัฐบาลไทยในวิกฤต "กัมพูชา" ในห้วงที่ผ่านมา
1.ท่าทีของรัฐบาล “ตั้งรับ” มากเกินไป
2.ท่าทีของผู้นำประเทศ และผู้รับผิดชอบระดับสูง เช่น นายกฯแพทองธาร รองนายกฯภูมิธรรม ล้วนแสดงความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และออกตัวแทนกัมพูชา
3.การสื่อสารทุกช่องทาง ไทยตามหลังกัมพูชาหลายก้าว
4.ฝ่ายไทยโดนยั่วยุ และถูกเล่นสงครามประสาทตลอดเวลา โดยที่ไม่สามารถกดดันกลับได้เลย
5.กัมพูชา เคลื่อนไหวเรื่องนี้ ทั้งการเดินเกมทางทหาร การต่างประเทศ และการสื่อสาร เป็นเอกภาพมาก ผิดกับไทยที่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไร้เอกภาพ ไม่เป็นเสียงเดียวกัน พูดขัดกัน ทหารไปทาง รัฐบาลไปทาง
6.ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ ไม่แสดงบทบาท หรือแสดงความรับผิดชอบมากเท่าที่ควร
สำคัญที่สุดคือ อดีตนายกฯทักษิณ เจ้าของฉายา “สทร.” เรื่องนี้กลับไม่สวมบท สทร. และเงียบผิดสังเกต
7.รัฐบาลถูกมองอย่างไม่ไว้วางใจว่ามีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชา
1.นักวิชาการ และผู้รู้ทุกฝ่าย ทุกค่าย เรียกร้องให้ปรับยุทธศาสตร์การสื่อสาร
2.ทุกฝ่ายเรียกร้องให้ตั้ง “ทีมยุทธศาสตร์” หรือ “คณะทำงาน” ที่ทำเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
3.รัฐบาลมีช่องทางในการเปิดเกมรุกกลับกัมพูชา โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว หรือกำลังทหาร เช่น ข้อเสนอจาก ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ จาก ม.ธรรมศาสตร์ ที่บอกว่า "กัมพูชา" ก็มีช่องโหว่จากคำแถลงหลัง JBC
4.ประเด็นที่ นายกฯฮุน มาเนต พูดเรื่อง “เขตแดนเชิงอัตลักษณ์” หมายถึงการไม่ได้อ้างอธิปไตยเฉพาะเส้นเขตแดน แต่ตีความกว้างไปถึงนามธรรมอื่นๆ เช่น ประวัติศาสตร์ อารยธรรม ฯลฯ ถือเป็นทัศนคติอันตรายต่อการอยู่ร่วมกันของประเทศเพื่อนบ้าน หรือของประชาคมอาเซียน
ยกตัวอย่าง การผูกขาดอารยธรรมขอม หรือ โขน หรือมวย กุนแขมร์ แล้วอ้างว่าทุกอย่างเป็นของตัวเอง ที่ไหนมีปราสาทแบบขอม ที่นั่นคือดินแดน "กัมพูชา"
"ไทยสามารถยกระดับเรื่องนี้สู่เวทีระหว่างประเทศเพื่อให้ปรามบทบาทของผู้นำกัมพูชาได้หรือไม่ ?"
5.การเชิญทูตต่างประเทศเข้ารับฟังสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ถือว่าเพียงพอกับสถานการณ์หรือยัง