16 มิถุนายน 2568 สืบเนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม 20 ปาก โดยในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา องค์คณะได้เรียกพยานเอกสารหลายรายการและได้มีคำถาม ต้องถามเพิ่มเติม จึงได้ไต่สวนพยานปากนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิศษกรุงเทพมหานคร ส่วนพยานปากอื่น ได้นัดไต่สวนในเดือนกรกฎาคม 2568 นั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นและให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชนแก่ประชาชน เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามที่หลายฝ่ายได้สอบถามเกี่ยวกับการไต่สวนในประเด็นคุมขังนายทักษิณ ชินวัตร มีคำสั่งให้หมายเรียกพยานบุคคล รวม 20 ปาก และเรียกเอกสารเพิ่มเติมมีผลต่อนายทักษิณฯ ประการใด ตนให้ความเห็นเฉพาะตามที่สื่อนำเสนอมาเท่านั้น มิได้ล่วงรู้หรือนำรายละเอียดในสำนวนคดีมาเผยแพร่และไม่ได้ส่อกระทำละเมิดอำนาจศาลแต่ประการใด แต่ให้ความรู้ในกระบวนการยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชน ดังนี้
การไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดำ ที่ บค.1/2568 ในการไต่สวนศาลเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องจัดทำถ้อยคำ พร้อมพยานเอกสารส่งศาล หากไม่สิ้นกระแสความ ศาลย่อมไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมได้ หรือออกหมายเรียกพยานเอกสาร ประกอบการพิจารณาได้ เพื่อให้สิ้นกระแสความ ตาม พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560
ดังนั้น การไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมเพื่อให้สิ้นกระแสความ ศาลย่อมใช้อำนาจเรียกพยานบุคคลมาไต่สวนเพิ่มเติมได้
แต่การที่ศาลฎีกาใช้ระบบไต่สวน ไม่ว่าจะถามพยานเพิ่มเติม หรือที่เรียกกันว่าถามค้านของทนายจำเลย จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลในการถามพยานเพิ่มเติมเท่านั้น จะถามพยานตามอำเภอใจไม่ได้ แตกต่างจากระบบกล่าวหาในศาลยุติธรรมอื่น เพราะเป็นหน้าที่ของคู่ความในการค้นหาความจริง พูดภาษาชาวบ้าน ระบบไต่สวน คุมเกม โดยศาล เพราะศาลเป็นผู้ค้นหาแสวงหาข้อเท็จจริง ดังนั้น การที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของนายทักษิณ ถามพยานเพิ่มเติมหรือถามค้าน ศาลจะต้องอนุญาตให้ถามนั้น โดยในระบบไต่สวนไม่มีการถามค้าน แต่เป็นการถามพยานเพิ่มเติม ทนายจำเลยจะถามพยานเพิ่มเติมขัดกับคำถามศาลไม่ได้
การที่เพิ่มเติมพยานบุคคลเพิ่มเติมหลายปาก มิใช่เป็นการตั้งธงของศาลตามที่หลายฝ่ายตั้งคำถาม แต่เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ประเด็นแห่งคดีมีเพียงว่า มีการบังคับโทษตามคำพิพากษาครบถ้วนหรือไม่ โดยเฉพาะพยานปากนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตอบคำถามศาลหลายประเด็น เป็นเพียงพยานบอกเล่า เพราะไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในขณะเกิดเหตุ เบิกความตามพยานเอกสารที่ปรากฏ ย่อมส่งผลมีน้ำหนักน้อย
พยานบุคคลที่มีน้ำหนักรับฟังว่าคุมขังครบถ้วนหรือไม่ เป็นจุดชี้ว่า จะนำตัวนายทักษิณฯมาคุมขังให้ครบถ้วนหรือไม่ คือ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำ เจ้าพนักงานราชทัณฑ์(พัศดีเวร) แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษารพ.ราชทัณฑ์-รพ.ตำรวจ พยานบุคคลเหล่านี้ พยานบุคคลเหล่านั้น จะต้องเป็นประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุ และสำเนาเอกสารเวชระเบียนในการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวชี้ขาด ว่าป่วยจริงหรือไม่อย่างไร ตามมาตรา 55 แห่ง พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ประกอบกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 หรือไม่ ส่วนมติแพทยสภา ยังไม่ถึงที่สุด ไม่มีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาด
กรณีการทุเลาการบังคับโทษจำคุก มาตรา 246 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นบทบัญญัติทุเลาการบังคับโทษจำคุก
เจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ เป็นการทุเลาการบังคับโทษจำคุกชั่วคราว โดยไม่นับเวลาต่อเนื่องในการขอทุเลา
แตกต่างจากการนำตัวไปการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ โดยอาศัยมาตรา 55 แห่ง พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ประกอบกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ยังคงนับระยะเวลาคุมขังต่อเนื่อง เหตุเป็นเช่นนี้ ในมาตรา 55 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน กรณีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ มิให้ถือว่า ผู้ต้องขังพ้นจากที่คุมขัง
ส่วนการทุเลาการบังคับโทษจำคุก เช่น จำเลยวิกลจริต หรือเมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิต ถ้าต้องจำคุก หรือถ้าจำเลยตั้งครรถ์ หรือคลอดบุตรมาแล้วไม่เกิน ๓ ปี และจำเลยต้องเลี้ยงบุตรนั้น เป็นต้น กฎหมายบังคับเด็ดขาด ต้องขออนุญาตศาล
การนำตัวนายทักษิณฯผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ มิใช่ เป็นกรณีทุเลาการบังคับโทษจำคุก ถือว่าเป็นคนละส่วนกัน โดยผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ได้ใช้อำนาจกฎหมายเฉพาะ คือมาตรา 55 แห่ง พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ประกอบกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1092/2482 “อำนาจในการทุเลาการบังคับคดีตาม ป.วิอาญามาตรา 246 ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับได้ ไม่ว่าก่อนหรือหลังจากการบังคับคดีไปแล้ว อำนาจศาลสั่งทุเลาการบังคับคดีตามป.วิอาญามาตรา 246 “หาได้ก้าวก่าย ลบล้างกันกับอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์นั้นไม่ เป็นคนละส่วนต่างหากจากกัน”
ทั้งก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯได้ยกคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดนครนายก ผู้ร้อง โดยวินิจฉัยว่า “การบังคับโทษและส่งผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์”
ผลการไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม ไม่ว่า เป็นกรณีศาลเรียกเองหรือพยานฝ่ายจำเลยได้อ้างอิง ล้วนมีผลการวินิจฉัยชี้ขาด แต่การบังคับโทษทางอาญาครบถ้วน หากกระบวนการเกิดจากความบกพร่องจากฝ่ายปฏิบัติการ มิใช่จากฝ่ายผู้ต้องขัง จะบังคับโทษซ้ำในสองครั้งของการกระทำเดียวกันไม่ได้
การถามพยานเพิ่มเติมของนายวิญญัติฯ ทนายของนายทักษิณ ชินวัตรปากนายมานพฯ แม้ศาลไม่ให้ถามบางคำถาม หรือบางคำถามที่บ่งถึงวิธีปฏิบัติของแพทย์และพัศดีเวรในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำที่ รพ.ตำรวจไม่ผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ก็ดี ไม่มีผลต่อกระบวนการคุมขังผู้ต้องขังเพราะ กรณีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ มิให้ถือว่า ผู้ต้องขังพ้นจากที่คุมขัง
อีกทั้ง การไต่สวนพยานบุคคลจำนวนมากและเรียกพยานเอกสารเพิ่มเติม ล้วนเป็นการให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายและให้คำตอบสังคมได้ ย่อมส่งผลดีต่อทุกฝ่าย รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร ทำให้คดีไต่สวนเป็นมหากาพย์ยาวนาน หากผลคดีศาลสั่งคดีเป็นบวกหรือลบอย่างไร อาจเป็นช่องทางให้ฝ่ายจำเลยใช้ช่องอุทธรณ์คำสั่งต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาอีกครั้ง