นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายไทย แถลงผลชี้แจงผลการประชุม JBC ไทย-กัมพูชาที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่าง 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 5 ที่ตนได้เข้าร่วมประชุม และถือว่า การประชุม JBC ในครั้งนี้ราบรื่นที่สุด เท่าที่เคยประชุมมา เพราะการประชุมก่อน ๆ ทะเลาะกันแรงกว่านี้มาก และในครั้งนี้ ถือว่า ประสบความสำเร็จทางด้านเทคนิค
นายประศาสน์ ยังอธิบายภารกิจของคณะกรรมาธิการ JBC ว่า ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ประกอบด้วย "การตรวจหาหลักเขตที่ปักปัน" ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ช่วงปี พ.ศ.2462-2463 ซึ่งมีการปักหลักเขตไปแล้ว 73 หลัก และได้รับความเห็นชอบไปแล้ว 45 หลัก เหลืออีก 29 หลัก ที่ยังคงมีความเห็นต่างกัน และ "การบินหาหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ" ซึ่งฝ่ายกัมพูชา เสนอว่า ต้องหาหลักเขตที่ปักไว้ในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ฝ่ายไทย ได้ชี้แจงว่า ยังไม่พอ เพราะจุดประสงค์ฝ่ายไทย ต้องการทำให้เห็นเขตแดนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ จึงได้มีการถ่ายภาพทางอากาศ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย จะได้หารือกันว่า จะเดินสำรวจในแนวทางใด เมื่อเห็นพ้องตรงกัน ก็จะปักหลักเขตให้ถี่ขึ้น และทำแผนที่ฉบับใหม่
นายประศาสน์ ยังเปิดเผยว่า ในการหารือ ได้มีการตกลงกันว่า จะใช้ "เครื่องบินถ่ายภาพทางอากาศ" โดยใช้เทคนิคการติดกล้อง เรียกว่า "Lidar" และยิงเลเซอร์ลงมา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีความแม่นยำกว่าเดิม และได้มีการคุยในรายละเอียดว่า จะใช้ขนาดโดรนเท่าใด และบินสูงแค่ไหน ใช้ความถี่เท่าไร ซึ่งค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเป็นการร่วมกันออกคนละครึ่ง
นายประศาสน์ ยังเล่าว่า ขั้นตอนการประชุม เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งทางกัมพูชาได้สอบถามว่า ทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจหลักเขต ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงว่า เห็นด้วยในหลักการที่จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไป แต่ยังไม่ได้มีการทำคู่มือการสำรวจให้กับเจ้าหน้าที่ และตามคู่มือ จะต้องระบุเทคนิคของ Lidar ให้พร้อมก่อน จึงจะสามารถสำรวจได้ เพราะตนก็กังวลว่า หากเจ้าหน้าที่ไปสำรวจโดยไม่มีคู่มือกำหนด ก็อาจมีปัญหาด้านความปลอดภัยจากกับระเบิดได้
ส่วนข้อโต้แย้งฝ่ายกัมพูชา ที่ได้ทักท้วงเหตุใดไม่ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่ ตอนที่ 6 ช่วงปราสาทเขาพระวิหาร จนถึงภาคตะวันออกนั้น นายประศาสน์ ระบุว่า ประเด็นดังกล่าว ยังคงถกเถียงกันไปมา โดยตนชี้แจงย้ำว่า จะต้องทำภาพถ่ายทางอากาศก่อน และเมื่อปี 2556 นั้น เป็นพื้นที่ดังกล่าว มีการปะทะกัน ทำให้ต้องดำเนินการเร่งด่วน
นายประศาสน์ อธิบายถึงการประชุมกลุ่มเล็ก หรือ Four Eyes การหารือกลุ่มเล็ก ที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อน ก่อนเริ่มการประชุม JBC แบบเต็มคณะ ซึ่งมีกระแสข่าววาระการประชุมหลุดออกมา พร้อมย้ำว่า การทำงานของคณะกรรมาธิการ JBC คือการทำให้เห็นเขตแดนอย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่างการทำเขตแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย ที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปี กับเขตแดน 556 กิโลเมตร โดยที่ไม่มีปัญหาของการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่กับไทยและกัมพูชานั้น ยังไม่ถึงขั้นตอนการตั้งไข่ และยังไม่ทราบว่า จะสำเร็จได้เมื่อใด ซึ่งอาจจะนาน 15-20 ปีในด้านเทคนิค ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
ส่วนการทำแผนที่ได้มีการตกลงกันถึงการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือ 1 ต่อ 50,000 หรือไม่นั้น นายประศาสน์ ยืนยันว่า กระแสข่าวแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตนไม่มีการพูดเลย และจัดทำเขตแดนที่พูดถึงนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือ 1 ต่อ 50,000 ที่ต่างฝ่ายต่างทำกันเอง แต่เป็นแผนที่จากภาพทางอากาศ ที่ทำในอัตรา 1 ต่อ 50,000 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องทำร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ซึ่งแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ที่ไทยใช้นั้น เป็นแผนที่ทางยุทธการ ซึ่งมีความละเอียดในระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนฝ่ายกัมพูชา ได้แจ้งการยื่น 4 พื้นที่พิพาทต่อศาลโลกในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ JBC หรือไม่ และในการประชุมครั้งหน้ากัมพูชา ได้ยืนยันหรือไม่จะไม่มีการพูดคุย 4 พื้นที่พิพาทในกลไกทวีภาคีอีกนั้น นายประศาสน์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้เกินขอบข่ายที่ตนจะต้องพูด แต่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความก่อนวันประชุมว่า ไม่ให้พูดเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าว ไปหารือในวงหารือแบบ Four Eyes วงเล็กว่า จะไม่นำเรื่องดังกล่าวไปหารือแบบเต็มคณะ ซึ่งตนก็รับทราบ แต่เสียดายเพราะ แม้ฝ่ายกัมพูชา จะไม่พูดเรื่องเขตแดน เพราะต้องการนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น แต่ในพื้นที่ดังกล่าว ก็มีจุดที่เกิดการปะทะกัน และอดีตเคยมีประธานกรรมาธิการ JBC ลงพื้นที่ไปในพื้นที่ที่มีปัญหา เพื่อกำหนดมาตรการชั่วคราว ไม่ให้กองทัพและประชาชน เข้าไปดำเนินกิจกรรมใด ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งตนได้เสนอฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว แต่ฝ่ายกัมพูชา ยืนยันจะไม่หารือ ดังนั้น เรื่องดังกล่าวจึงไม่มีอยู่ในวาระการประชุม และฝ่ายกัมพูชา ได้ยอมรับว่า ได้รับคำสั่งชัดเจนว่าไม่ให้พูด ไม่ให้ยกขึ้นหารือ
"เมื่อเขาเอาเรื่องในกลุ่มเล็กมาพูด ตนก็เอามาพูดบ้างแล้วกัน ในเรื่องที่คิดว่าไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ให้เห็นบรรยากาศ จริงๆ มันราบรื่น ไม่ได้งี่เง่า หรือไปถูกเขาหลอก แต่ก็มีการอัดกันแรงพอสมควร แต่ยืนยันว่า แรงน้อยที่สุดแล้ว ตั้งแต่ตนเคยเจอมา" นายประศาสน์ เล่า
ส่วนใน MOU43 มีการบันทึกถึงการปักปันแนวเขต จะต้องยึดที่สันปันน้ำหรือไม่ และแนวเขตในการปักปันแตกต่างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และ 1 ต่อ 50,000 อย่างไรนั้น นายประศาสน์ ชี้แจงว่า ฝ่ายไทยยึดจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 และ 1907 รวมถึงแผนที่ซึ่งเป็นผลการสำรวจปักปันในอดีต รวมถึงเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่กฏหมายระหว่างประเทศให้การรับรอง เช่น รายงานข้าหลวงที่ไปปักปันเขตแดน นอกจากนี้ ทางกัมพูชาเคยปักปันหลักไม้ไว้ 2 ครั้ง และมีการจัดทำภาพแผนผัง ซึ่งเป็นบันทึกวาจา ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเป็นหลักแบบซีเมนต์ และทำบันทึกวาจาไว้
ส่วนที่กัมพูชาอ้างแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เป็นแผนที่ที่ไทยทำเพียงฝ่ายเดียวนั้น นายประศาสน์ ชี้แจงว่า แผนที่ 1 ต่อ 50,000 เป็นแผนที่ยุทธการ ที่แต่ละประเทศ ผลิตขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะด้วยทางเทคโนโลยี หรือความร่วมมือต่าง ๆ ซึ่งของประเทศไทยนั้น ในปี 2495 เคยทำมาแล้วที่กกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ทำให้กับอินโดจีน, ไทย, ลาว และกัมพูชา จากนั้นแต่ละประเทศ ก็จะไปพัฒนาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการทำฝ่ายเดียว หรือเป็นการต่างคนต่างทำ ไม่มีผลผูกพัน แต่ต่อให้ทำร่วมกัน ก็ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่แผนที่ที่ทำโดยสนธิสัญญา