svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก ผลลัพธ์คืออะไร - ต้องทำตามคำตัดสินหรือไม่ ?

ถ้าไทยไม่รับอำนาจศาลโลก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร แล้วต้องปฏิบัติตามคำตัดสินไหม? ยกคดีตัวอย่างเขาพระวิหาร "ข้อพิพาทเขตแดน - แผนที่ 1:200,000 - พื้นที่ทับซ้อน"

เหลี่ยมทุกดอกแล้วบอกว่าเป็นมิตรกัน จากการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission (JBC) ครั้งที่ 6 จัดขึ้นในวันที่ 14 – 15 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

 

โดยภายหลังประชุมช่วงบ่ายวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ฝ่ายกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการรัฐว่าด้วยกิจการชายแดนกัมพูชา ได้แถลงข่าว มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า มีการหารือกรณีที่กัมพูชานำพื้นที่ 4 จุด คือ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย เข้าสู่การพิจารณาของ International Court of Justice (ICJ) หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) รวมถึงทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงใช้แผนที่ 1 : 200,000 ร่วมกัน

 

ขณะที่ ฝ่ายไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศตอบโต้กลางดึกวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ว่า ในวงประชุม ไม่มีทั้งประเด็น ศาลโลก และการตกลงใช้แผนที่ 1: 200,000 แต่อย่างใด

 

ในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้แสดงความผิดหวังในการที่ฝ่ายกัมพูชา ไม่ยอมร่วมมือกับไทย ในการแก้ไขปัญหา และลดความตึงเครียดระหว่างกัน

 

โดยความจริงจากวงประชุม JBC จะต้องมีเพียง 1 เดียวเท่านั้น!! นับจากนี้แน่นอนว่า จะมีการใช้มาตรการตอบโต้ของทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชา ที่เข้มข้นขึ้น

 

มาตรการของกัมพูชา ที่เดินหน้าให้ศาลโลกตัดสินชี้ขาด ข้อพิพาทเขตแดน 4 แห่ง มีคำถามตามมาว่า ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคืออะไร?

 

  • ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก

14 มิถุนายน 2568 ระหว่างการประชุม JBC นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงชัดเจนว่า ไทยไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ซึ่งเป็นจุดยืนที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันมาโดยตลอด

  • คดีตัวอย่างประสาทพระวิหาร

ย้อนกลับไป ปี 2502 กัมพูชายื่นคำขอศาลโลก ให้วินิจฉัยเขตแดนไทย-กัมพูชา เหนือปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา

 

ปี 2505 ศาลโลกตัดสินปราสาทพระวิหาร อยู่ในเขตแดนกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 : 3 และ 7 : 5 ลงความเห็นว่า ไทยต้องคืนวัตถุโบราณต่างๆ ให้แก่กัมพูชา แต่ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับแผนที่ระวางดงรัก อัตราส่วน 1:200,000 

 

3 กรกฎาคม 2505 ไทยออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่ในฐานะประเทศสมาชิกยูเอ็น(สหประชาชาติ) ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณี ด้วยการคืนเฉพาะตัวปราสาท โดยคำพิพากษานี้มิได้ชี้ขาดในเรื่องแนวเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าว

 

ปี 2540 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจา สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย - กัมพูชา

 

ปี 2543 มี MOU 2543 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก กำหนดพื้นฐานทางกฎหมายว่าการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา จะใช้เอกสารใดในการเจรจา แต่มิได้หมายความว่า อีกฝ่ายยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวผูกพันตัวเอง

 

เขาพระวิหาร

ปี 2550 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว และเกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่า กัมพูชาอ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่ 1 : 200,000 ไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างในคดีเดิม ตั้งแต่ปี 2505 จึงเป็นปัญหาเขตเกิดขึ้นแดนใหม่

 

ปี 2551-2554 เกิดเหตุปะทะหลายครั้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกับความเคลื่อนไหวประเด็นมรดกโลก

 

18 มิถุนายน 2551 นายนพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชาและยูเนสโก และถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่

 

24 มิถุนายน 2551 ตัวแทนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางให้กระทรวงการต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี ยุติการดำเนินการตามมติ ครม. ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย - กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก กระทั่ง 28 มิถุนายน 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ยุติการดำเนินการตามมติ ครม. จนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด

 

8 กรกฎาคม 2551 ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

 

ปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลก ตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 ขณะที่ฝ่ายไทยมองว่ามีการขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในฝั่งไทย

 

ครั้งนั้น กระทรวงการต่างประเทศของไทย อธิบายเรื่องการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกว่า ประเทศไทยได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯ ล่วงหน้า โดยหนังสือลงวันที่ 20 พ.ค. 2493 (ยอมรับอำนาจศาลเป็นเวลา 10 ปี) และ หลังคดีปราสาทพระวิหาร ไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลโลกอีกต่อไป

 

18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว ให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว

 

ปี 2556 ศาลโลกตัดสินชี้ขาดเป็นเอกฉันท์ ตามคำพิพกาษา ปี 2505 ว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร แต่ศาลโลกไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ผูกพันไทย ส่วนพื้นที่ใกล้เคียงศาลโลกเห็นว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร ไม่รวมถึงภูมะเขือ

 

  • ศาลโลกไม่มีกลไกบังคับคำตัดสิน คู่กรณีต้องร้อง UNSC

สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอ บทความวิเคราะห์ของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิตและเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า หัวข้อ “คดีปราสาทพระวิหาร : เบื้องลึก เบื้องหลัง และแนวโน้มของข้อยุติ” โดยเนื้อหาตอนหนึ่ง ระบุว่า คำตัดสินของศาลโลกมีสถานะเป็นคำพิพากษา ในตัวเอง มีฐานะถึงที่สุดและมีผลผูกพันให้คู่กรณีต้องปฏิบัติตามตามธรรมนูญศาลโลก มาตรา 60

 

ทั้งนี้ ศาลโลกไม่มีกลไกบังคับตามคำพิพากษาโดยตรง แต่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งสามารถยื่นขอให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ออกมาตรการมาบังคับให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกได้ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 94 ที่บัญญัติไว้ว่า

 

1.สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติ รับที่จะอนุวัติตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีใดๆ ที่ตนตกเป็นฝ่ายหนึ่ง

2.ถ้าผู้เป็นฝ่ายในคดีฝ่ายใด ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพัน ซึ่งตกอยู่แก่ตนตามคำพิพากษาของศาล ผู้เป็นฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่ง อาจร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งถ้าเห็นจำเป็น ก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษานั้น

 

เห็นได้ว่า การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ใช่ปัญหาทางกฎหมายอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่ต้องร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อให้กำหนดมาตรการ ซึ่งเป็นดุลยพินิจเด็ดขาดของคณะมนตรีความมั่นคงฯ

 

ทั้งนี้ เมื่อไทยแพ้คดีประสาทพระวิหารต่อศาลโลกครั้งแรก เมื่อปี 2505 ก็ประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก แต่ยอมที่จะปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 94

 

  • ไม่ปฏิบัติตาม คณะมนตรีความมั่นคงฯได้หรือไม่

ถามว่า ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลกได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในหลายๆ กรณี อาทิ

 

1.คดีสหรัฐอเมริกา vs อิหร่าน จากกรณีที่บุคลากรทางการทูตและกงสุลของสหรัฐฯ ถูกจับเป็นตัวประกัน ซึ่งอิหร่านแต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม

 

2.คดีนิคารากัว vs สหรัฐฯ จากกรณีที่นิคารากัวกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าสนับสนุนกบฏคอนทราสก่อการร้ายด้วยการให้วางทุ่นระเบิดรอบๆ อ่านนิคารากัว ซึ่งสหรัฐฯ ยื่นคัดค้านว่าศาลโลกไม่มีอำนาจ แต่ศาลโลกยกคำคัดค้าน สหรัฐฯ จึงถอนตัวจากคดี

 

คดีนี้ท้ายสุดศาลโลกพิพากษาว่าสหรัฐฯ ละเมิดสนธิสัญญาและกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ที่ต้องไม่แทรกแซงและละเมิดอธิปไตยของรัฐอื่น และให้ชดใช้ค่าเสียหาย

 

แต่สหรัฐฯ ไม่ปฏิบัติตาม นิคารากัวจึงนำเรื่องไปสู่คณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งในการลงมติ 11 ชาติ ลงมติให้ทุกรัฐเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ 1 เสียงของสหรัฐฯ และ 1 เสียงในฐานะผู้แทนถาวรประจำคณะมนตรีความมั่นคงฯ วีโต้ ขณะที่มี 3 ชาติงดออกเสียง

 

  • มหาอำนาจเท่านั้นที่ วีโต้สำเร็จ

ทำให้การบังคับตามคำพิพากษาของศาลโลกไม่สามารถทำได้ แม้นิคารากัวจะนำเรื่องไปสู่สมัชชาสหประชาชาติ ที่ลงมติ 94 ต่อ 3 เรียกร้องให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ยอม ท้ายสุด นิคารากัวต้องถอนคำร้องของตนในปี ค.ศ.1992/พ.ศ.2535

 

กรณีนี้คือคือการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกของชาติมหาอำนาจที่มีสิทธิ วีโต้ หรือยับยั้งเด็ดขาด ในคณะมนตรีความมั่นคงฯ อีกทั้งยังเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับสหประชาชาติ

 

จากบทความของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อ่านทิศทางได้ค่อนข้างชัดเจนว่า เมื่อไทยไม่ใช่มหาอำนาจ ผลที่จะเกิดขึ้นคือ แทบไม่สามารถเลี่ยงการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกได้